ประวัติบริษัท
บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) (“บริษัท” หรือ “CKP”) ก่อตั้งโดยกลุ่มบริษัท
ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) (“กลุ่ม ช.การช่าง”) จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 8
มิถุนายน 2554 ทุนจดทะเบียน 1,000,000 บาท
ด้วยวัตถุประสงค์ให้เป็นบริษัทแกนนำของกลุ่ม ช.การช่าง
ที่มุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า จากพลังงานประเภทต่างๆ
บริษัทได้จดทะเบียนแปรสภาพเป็น บริษัทมหาชนเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2556
และหุ้นสามัญของบริษัท ได้รับการจดทะเบียนเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน และเริ่มทำการ
ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (“ตลาดหลักทรัพย์”) เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม
2556 ด้วยทุนจดทะเบียน 5,500 ล้านบาท เรียกชำระเต็มมูลค่าแล้ว และเมื่อวันที่ 10
เมษายน 2558 บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 9,240 ล้านบาท โดย ณ
ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียนเรียกชำระแล้ว 7,964 ล้านบาท
ปัจจุบันบริษัทลงทุนในบริษัทที่ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าในโครงการไฟฟ้า 3
ประเภท ได้แก่ โครงการไฟฟ้าพลังน้ำ โครงการไฟฟ้าระบบโคเจนเนอเรชั่น
และโครงการไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ โดยแบ่งเป็นการลงทุนในโครงการไฟฟ้าที่เป็น
บริษัทย่อยและบริษัทร่วม รวม 6 บริษัท ดังนี้
การลงทุนในบริษัทย่อย รวม 3 บริษัท ประกอบด้วย
-
บริษัท ไฟฟ้าน้ำงึม 2 จำกัด (“NN2”)
ซึ่งมีสถานะเป็นบริษัทแกนของบริษัทในสัดส่วน การถือหุ้นที่ร้อยละ 46
โดยเป็นการลงทุนผ่านบริษัท เซาท์อีสท์ เอเชีย เอนเนอร์จี จำกัด
-
บริษัท บางปะอินโคเจนเนอเรชั่น จำกัด (“BIC”) ในสัดส่วนการถือหุ้นที่ร้อยละ 65
- บริษัท บางเขนชัย จำกัด (“BKC”) ในสัดส่วน การถือหุ้นที่ร้อยละ 100
การลงทุนในบริษัทร่วม รวม 3 บริษัท ประกอบด้วย
-
บริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด (“XPCL”) ในสัดส่วนการถือหุ้นที่ร้อยละ 37.5
- บริษัท เชียงราย โซล่าร์ จำกัด (“CRS”) ในสัดส่วนการถือหุ้นที่ร้อยละ 30
-
บริษัท นครราชสีมา โซล่าร์ จำกัด (“NRS”) ในสัดส่วนการถือหุ้นที่ร้อยละ 30
ทั้งนี้ โครงการไฟฟ้าที่บริษัทเข้าลงทุนส่วนใหญ่ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้ว โดยมีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ได้แก่โครงการไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ แบบติดตั้งบนพื้นดินของ BKC จำนวน 1 โครงการ เพื่อผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ให้กับผู้ประกอบการภาคเอกชน ซึ่งคาดว่าจะเริ่มขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ภายในปี 2562
การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการที่สำคัญ
-
ปี 2554
-
วันที่ 8 มิถุนายน 2554 จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทด้วยเงิน ทุนจดทะเบียน
1,000,000 บาท โดยมีวัตถุประสงค์ให้บริษัทเป็นแกนนำของกลุ่ม ช.การช่าง
ที่มุ่งเน้น การลงทุนในธุรกิจผลิต และจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงาน ประเภทต่างๆ
-
ปี 2555
-
วันที่ 10 พฤษภาคม 2555 บริษัทซื้อหุ้นสามัญของ SEAN เพิ่มเติมจาก บริษัท
ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BECL)1 จำนวน 110,112,500 หุ้น หรือคิดเป็น
ร้อยละ 16.7 ของทุนจดทะเบียน ทำให้บริษัทถือหุ้นใน SEAN รวมเป็นจำนวน
361,168,999 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 54.7 ของทุนจดทะเบียน
และเรียกชำระเต็มมูลค่าแล้ว
-
วันที่ 26 มิถุนายน 2555
บริษัทซื้อหุ้นสามัญของบริษัทที่ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังแสงอาทิตย์ จาก
บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) จำนวน 2 บริษัท ได้แก่
1) BKC จำนวน 2,342,498 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 100.00 ของทุนจดทะเบียน
และเรียกชำระเต็มมูลค่าแล้ว
2) NRS จำนวน 664,500 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 30.00 ของทุนจดทะเบียน
และเรียกชำระแล้วร้อยละ 85.06
-
วันที่ 31 สิงหาคม 2555 บริษัทซื้อหุ้นสามัญของ SEAN เพิ่มเติมจาก บริษัท
ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเม้นท์ จำกัด จำนวน 8,809,000
หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 1.3 ของทุนจดทะเบียน ทำให้บริษัทถือหุ้นใน SEAN
รวมเป็น 369,977,999 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 56 ของทุนจดทะเบียน
และเรียกชำระเต็มมูลค่าแล้ว
-
วันที่ 26 ธันวาคม 2555
บริษัทซื้อหุ้นสามัญของบริษัทที่ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าในโครงการไฟฟ้า
พลังแสงอาทิตย์ และโครงการไฟฟ้าระบบโคเจนเนอเรชั่น จาก CK จำนวน 2 บริษัท
ได้แก่
1) CRS จำนวน 875,250 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 30 ของทุนจดทะเบียน
และเรียกชำระแล้วร้อยละ 95
2) BIC จำนวน 63,019,999 หุ้นหรือคิดเป็นร้อยละ 46.00
ของทุนจดทะเบียนและเรียกชำระเต็มมูลค่าแล้ว
-
ปี 2556
-
วันที่ 2 มกราคม 2556 บริษัทซื้อหุ้น BIC เพิ่มเติมจาก บริษัท
ที่ดินบางปะอิน จำกัด จำนวน 26,029,999 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 19
ของทุนจดทะเบียน ทำให้บริษัทถือหุ้นใน BIC รวมเป็น 89,049,998 หุ้น
หรือคิดเป็นร้อยละ 65 ของทุนจดทะเบียน และเรียกชำระเต็มมูลค่าแล้ว
-
วันที่ 11 มกราคม 2556 บริษัทลดทุนจดทะเบียนจาก 9,200 ล้านบาท เป็น 3,066.7
ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 306.7 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10
บาท โดยเป็นการลดทุนเพื่อคืนทุนที่ลดลงให้แก่ผู้ถือหุ้นตามสัดส่วน
ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2556 บริษัทเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัท เป็น 4,600
ล้านบาท จำหน่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนและลดมูลค่า
ที่ตราไว้ต่อหุ้นจากเดิมหุ้นละ 10 บาท เป็นหุ้นละ 5 บาท พร้อมกันนี้
ได้เพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทจาก 4,600 ล้านบาท เป็น 5,500 ล้านบาท
โดยการออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 180 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 5 บาท
เพื่อเสนอขายต่อประชาชนทั่วไป
-
วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2556 บริษัทจดทะเบียนแปรสภาพเป็น บริษัทมหาชน
และเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน)
-
วันที่ 18 กรกฎาคม 2556
หุ้นสามัญของบริษัทเริ่มทำการซื้อขายครั้งแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
-
ปี 2557
-
วันที่ 22 เมษายน 2557 ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2557
มีมติอนุมัติให้บริษัทนำส่วนเกิน มูลค่าหุ้นสามัญจำนวน 170 ล้านบาท
เพื่อชดเชยผลขาดทุนสะสม ในงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัท
-
วันที่ 28 ตุลาคม 2557 ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัท ครั้งที่
1/2557 มีมติอนุมัติให้ BIC ทำรายการที่เกี่ยวโยงกัน ว่าจ้าง CK
ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท
เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการไฟฟ้าระบบโคเจนเนอเรชั่น โครงการ 2 (“BIC2”)
ในวงเงิน รวมไม่เกิน 4,310 ล้านบาท โดยมีกำหนดเวลาการก่อสร้าง 29 เดือน
นับจากวันที่ 1 มกราคม 2558 โดย BIC2 เริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์
ในช่วงกลางปี 2560
-
ปี 2558
-
วันที่ 24 เมษายน 2558 บริษัทจ่ายเงินปันผลจากผลประกอบการปี 2557
ในอัตราหุ้นละ 0.1 บาท รวมเป็นเงินปันผลทั้งสิ้น 110 ล้านบาท
ซึ่งเป็นการจ่ายเงินปันผลครั้งแรกของบริษัท
-
วันที่ 29 พฤษภาคม 2558 บริษัทลดมูลค่าที่ตราไว้ต่อหุ้นจากเดิม 5 บาท เป็น
1 บาท และเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทอีกจำนวน 3,740 ล้านบาท
รวมเป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 9,240 ล้านบาท แบ่งเป็น
1) หุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 1,870 ล้านหุ้น โดยเสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิม
ตามสัดส่วนการถือหุ้น (Rights Offering) ส่งผลให้บริษัทมีทุนจดทะเบียน
และชำระแล้วจำนวน 7,370 ล้านบาท
2) หุ้นสามัญจำนวน 1,870 ล้านหุ้น เพื่อรองรับการใช้สิทธิแปลงสภาพ
ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท (CKP-W1) จำนวน 1,870
ล้านหน่วย
-
วันที่ 04 มิถุนายน 2558 หุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 1,870 ล้านหุ้น
เริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์
-
วันที่ 09 มิถุนายน 2558
1) CKP-W1 จำนวน 1,870 ล้านหน่วย เริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ทั้งนี้ ณ วันที่ 28 มิถุนายน 2562 มีผู้ถือหุ้นใช้สิทธิแปลง CKP-W1 เป็นหุ้นสามัญจำนวน 594 ล้านหุ้น
2) บริษัทซื้อหุ้น XPCL จาก CK ในสัดส่วนร้อยละ 30 ของทุนจดทะเบียน คิดเป็น
805,830,000 หุ้น มูลค่ารวมประมาณ 4,344 ล้านบาท
-
ปี 2559
-
วันที่ 19 เมษายน 2559 ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัทประจำปี 2559
มีมติอนุมัติ ดังนี้
-
อนุมัติให้บริษัทออกและเสนอขายหุ้นกู้ในวงเงินรวม ไม่เกิน 10,000
ล้านบาท หรือในเงินสกุลอื่นในจำนวนเทียบเท่า
-
อนุมัติให้ NN2 เข้าทำรายการที่เกี่ยวโยงกันเพื่อว่าจ้าง บริษัท
ช.การช่าง (ลาว) จำกัด (“CHK”) เป็นผู้ดำเนินงาน
ปรับปรุงยกระดับแรงดันไฟฟ้า และก่อสร้างสถานีไฟฟ้าย่อยนาบง 230
กิโลโวลต์/ 500 กิโลโวลต์ ในวงเงินรวม 799.85 ล้านบาท และ 39.11
ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ไม่รวมภาษี มูลค่าเพิ่ม)
เพื่อรองรับการส่งไฟฟ้าจากโครงการต่างๆ ที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า
กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (“กฟผ.”)
กำหนดระยะเวลาดำเนินการแล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม 2561
-
วันที่ 16 เมษายน 2559 บริษัทจ่ายเงินปันผลจากผลประกอบการปี 2558
ในอัตราหุ้นละ 0.02 บาท รวมเป็นเงินปันผลทั้งสิ้น 164.4 ล้านบาท
-
วันที่ 17 มิถุนายน 2559 บริษัทออกและเสนอขายหุ้นกู้ ครั้งที่ 1/2559
ให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ในวงเงินรวม 4,000 ล้านบาท
อายุหุ้นกู้ 3 ปี ดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี
โดยเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน
มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ และผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้
ก่อนครบกำหนดไถ่ถอน
-
วันที่ 14 กันยายน 2559 NN2
ได้ลงนามสัญญาเงินกู้ยืมระยะยาวกับกลุ่มสถาบันการเงินผู้ให้กู้
เพื่อรีไฟแนนซ์เงินกู้ยืมระยะยาวเดิม และก่อหนี้เพิ่มเพื่อใช้ในการปรับปรุง
และก่อสร้างสถานีไฟฟ้าย่อยนาบง ส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินของ NN2
ลดลงและมีสภาพคล่องมากขึ้น
-
ปี 2560
-
วันที่ 18 พฤษภาคม 2560 บริษัทจ่ายเงินปันผลจากผลประกอบการปี 2559
ในอัตราหุ้นละ 0.06 บาท รวมเป็นเงินปันผลทั้งสิ้น 442.2 ล้านบาท
-
วันที่ 29 มิถุนายน 2560 โครงการบางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น โครงการ 2 (BIC2)
เริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ โดย BIC2 มีกำลังการผลิตติดตั้ง 120 เมกะวัตต์
มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. จำนวน 90 เมกะวัตต์ ระยะเวลา 25 ปี
นับจากวันเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์
และจำหน่ายไฟฟ้าส่วนที่เหลือให้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม
ที่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน
-
วันที่ 25 กรกฎาคม 2560 ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของ NN2 ครั้งที่ 1/2560
มีมติอนุมัติให้ NN2
ออกและเสนอขายหุ้นกู้เพื่อชำระคืนหนี้เงินกู้กับสถาบันการเงิน
ในวงเงินและมูลค่าคงค้างของหุ้นกู้ไม่เกินภาระหนี้เงินกู้ยืมระยะยาวที่ NN2
มีอยู่กับสถาบันการเงินเป็นสกุลเงินบาท และ/หรือ เงินสกุลต่างประเทศ
จำนวนเทียบเท่า โดยสามารถออกและเสนอขายเพียงชุดเดียว
หรือหลายชุดในคราวเดียวกันหรือหลายคราวก็ได้
-
กรกฎาคม 2560 BIC
ได้เรียกชำระค่าหุ้นสามัญเพิ่มทุนสำหรับการลงทุนในโครงการ BIC2
จนเต็มมูลค่าแล้ว ทำให้ ณ ปัจจุบัน BIC มีทุนจดทะเบียน
เรียกชำระเต็มมูลค่าแล้วเป็นจำนวน 2,705 ล้านบาท
-
วันที่ 05 ตุลาคม 2560 BIC NN2 ออกและเสนอขายหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2560
ให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน และผู้ลงทุนรายใหญ่ในวงเงิน 6,000 ล้านบาท แบ่งเป็น
หุ้นกู้อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.59 ต่อปี จำนวน 1,000 ล้านบาท
หุ้นกู้อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.48 ต่อปี จำนวน 1,400 ล้านบาท
และหุ้นกู้อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.69 ต่อปี จำนวน 3,600 ล้านบาท
โดยเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน
และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ทั้งนี้ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด
(“ทริสเรทติ้ง”) ได้จัดอันดับเครดิตองค์กรของ NN2 ที่ระดับ “A/Stable”
และจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ของ NN2 ที่ระดับ “A-/Stable”
พัฒนาการที่สำคัญในรอบปี 2561
-
10 เมษายน 2561
ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัทประจำปี 2561 มีมติอนุมัติการซื้อหุ้นของ
XPCL สัดส่วนร้อยละ 7.5 ของทุนจดทะเบียน ของ XPCL คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ
2,065.0 ล้านบาท จาก BEM รวมถึงอนุมัติ
การชำระเงินค่าหุ้นตามสัดส่วนการถือหุ้นใน XPCL จนกว่าโครงการไซยะบุรีจะ
ก่อสร้างแล้วเสร็จ
เป็นจำนวนประมาณ 399.2 ล้านบาท
8 พฤษภาคม 2561
บริษัทจ่ายเงินปันผลจากผลประกอบการ ปี 2560 ในอัตราหุ้นละ 0.0225 บาท
เป็นเงินทั้งสิ้นไม่เกิน 165.8 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลร้อยละ
57.9 ของกำไรสุทธิ ตามงบการเงินเฉพาะ กิจการ
18 มิถุนายน 2561
บริษัทออกและเสนอขายหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2561
ชนิดระบุชื่อผู้ถือประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน
ไม่มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้และ ผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนครบ
กำหนดไถ่ถอน จำนวน 6,500 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นกู้อายุ 3 ปี
อัตราดอกเบี้ยคงที่ ร้อยละ 2.56 ต่อปี จำนวน 4,000 ล้านบาท และหุ้นกู้อายุ 10
ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ ร้อยละ 4.06 ต่อปี จำนวน 2,500 ล้านบาท
โดยทริสเรทติ้งได้จัดอันดับเครดิตองค์กร ของบริษัทที่ระดับ “A/Stable” และ
จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ของบริษัทที่ระดับ “A-/Stable”
โดยบริษัทได้นำเงินจากการ ออกและเสนอขายหุ้นกู้ดังกล่าว ชำระคืน
หุ้นกู้ครั้งที่ 1/2559 ที่ออกและเสนอขาย ในปี 2559 จำนวน 4,000 ล้านบาท และ
ชำระค่าหุ้นของ XPCL ที่บริษัทซื้อเพิ่มเติม จาก BEM ในสัดส่วนร้อยละ 7.5
จำนวน 2,065 ล้านบาท โดยส่วนที่เหลือใช้สำหรับ การเพิ่มทุนใน XPCL
ที่จะทยอยเรียกชำระ จนกระทั่งการก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จ
19 ตุลาคม 2561
บริษัทได้รับคะแนนในระดับ “ดีเลิศ” ใน โครงการสำรวจการกำกับดูแลกิจการ
บริษัทจดทะเบียนประจำปี 2561 โดย สถาบันกรรมการบริษัทไทย
-
30 มีนาคม 2561
NN2 ออกและเสนอขายหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2561 ชนิดระบุชื่อผู้ถือประเภท
ไม่มีประกัน ไม่ด้อยสิทธิ ทยอยชำระ คืนเงินต้น มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้และ ผอู้
อกห้นุ กมู้ สี ทิ ธใ์ิ นการไถถ่ อนกอ่ น ครบกำหนด จำนวน 3,000 ล้านบาท อายุ
12 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.98 ต่อปี โดยทริสเรทติ้งได้จัดอันดับ
เครดิตองค์กรของ NN2 ที่ระดับ “A/Stable” และจัดอันดับเครดิต หุ้นกู้ของ NN2
ที่ระดับ “A-/Stable” ทั้งนี้ NN2 ได้นำเงินจากการออก
และเสนอขายหุ้นกู้ดังกล่าวชำระคืน หนี้เงินกู้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
เพื่อลดต้นทุนทางการเงิน
เดือนสิงหาคม 2561
NN2 ได้ดำเนินการงานปรับปรุง ยกระดับแรงดันไฟฟ้าและก่อสร้าง
สถานีไฟฟ้าย่อยนาบงแล้วเสร็จ เพื่อรองรับการส่งไฟฟ้าจากโครงการ ต่างๆ
ที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
-
31 ธันวาคม 2561
โครงการไซยะบุรีมีความก้าวหน้า งานก่อสร้างทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ ร้อยละ 97
โดยคาดว่าจะเริ่ม เดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในช่วง ปลายปี 2562
-
28 พฤษภาคม 2561
ที่ประชุมคณะกรรมการ BKC มีมติอนุมัติการลงทุนใน โครงการไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์
แบบติดตั้งบนหลังคาและ พื้นดินเพื่อผลิตและจำหน่าย ไฟฟา้ ใหกั้บผปู้
ระกอบการภาค เอกชนจำนวน 6 โครงการ ที่ กำลังการผลิตรวม 6.7 เมกะวัตต์
โดยได้เริ่มทยอยก่อสร้างตั้งแต่ ไตรมาส 3 ปี 2561 และคาดว่า
จะเริ่มทยอยผลิตและจำหน่าย ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ครบทั้งหมด ในปี 2562