ห้องข่าว

ซีเค พาวเวอร์ กำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO 13 บาท

ย้อนกลับ10 กรกฎาคม 2556

ซีเค พาวเวอร์ (CKP) ผู้นำในธุรกิจผลิตไฟฟ้าของไทยและอาเซียน เผยราคาเสนอขายหุ้นให้ประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวน 220 ล้านหุ้น ราคาจองหุ้นละ 13 บาท คิดเป็นส่วนลดประมาณ 26% จากราคาต่อมูลค่าทางบัญชีของบริษัทที่มีลักษณะการประกอบธุรกิจในลักษะณะเดียวกัน บริษัทตัดสินใจกำหนดราคาขายที่ 13 บาทต่อหุ้น เพื่อต้องการให้ผลตอบแทนที่ดีกับทั้งผู้มีอุปการะคุณ ผู้ลงทุนสถาบันและรายย่อย

การเสนอขายหุ้นสามัญครั้งนี้ ซีเค พาวเวอร์ แต่งตั้ง ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) บริษัท กรุงไทย แอดไวซ์เซอรี่ จำกัด และบริษัท แอดไวเซอรี่ พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และ แต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เคทีซีมิโก้ จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัดเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย (Lead Underwriter) โดยมี บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ไอ วี โกลบอล จำกัด(มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด(มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย (Co-underwriter) โดยเปิดให้จองซื้อหุ้น CKP ได้ระหว่างวันที่ 10-12 กรกฎาคมนี้ และคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ หมวดพลังงาน ประมาณวันที่ 18 กรกฎาคมนี้

ดร.สุภามาส ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า "การเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชน (IPO) จำนวน 220 ล้านหุ้นครั้งนี้ แบ่งออกเป็นการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 180 ล้านหุ้น และการเสนอขายหุ้นสามัญเดิม 40 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 5 บาท โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ จะนำมาชำระคืนเงินกู้และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ"

จุดแข็งของซีเค พาวเวอร์ ที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนคือ เป็นบริษัทแฟล็กชิพด้านพลังงานของ กลุ่ม ช. การช่าง ที่มีศักยภาพในการเติบโตด้วยรายได้ที่มั่นคง มีตลาดที่มีการเติบโตสูง มีศักยภาพในการพัฒนาโครงการ การบริหารงานและดำเนินงานโดยทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ มีแผนพัฒนาโครงการที่ชัดเจน มีการพัฒนาโครงการจากแหล่งพลังงานที่มีความหลากหลายเพื่อบริหารความเสี่ยง ส่งผลให้มีรายได้ที่แน่นอนและสม่ำเสมอ

ปัจจุบัน ซีเค พาวเวอร์ ลงทุนในโรงไฟฟ้า 6 แห่งจากแหล่งพลังงานที่หลากหลาย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งมีศักยภาพการเติบโต ประกอบด้วยโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์บางเขนชัย และโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์นครราชสีมาโซล่ารที่ จ.นครราชสีมา โรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์เชียงรายโซล่าร์ที่ จ. เชียงราย โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนบางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น 1 และบางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น 2 ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา และโรงไฟฟ้าพลังน้ำน้ำงึม 2 ในประเทศ สปป.ลาว และกำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนอีก 8 แห่ง ในภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ตลอดจนการลงทุนเพิ่มเติมใน สปป.ลาว ซึ่งถือได้ว่าเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของภูมิภาค โดยประกอบด้วยโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำน้ำบากและโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี รวมทั้งการสำรวจความเป็นไปได้ในการเข้าลงทุนในประเทศเมียนมาร์ ซึ่งเป็นตลาดใหม่ที่มีศักยภาพและโอกาสเติบโตสูง

นายประเสริฐ ภัทรดิลก กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท แอดไวเซอรี่ พลัส จำกัด กล่าวในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินว่า "ซีเค พาวเวอร์ เป็นผู้นำด้านพลังงาน ที่มีผลประกอบการที่แข็งแกร่ง และเริ่มรับรู้รายได้จากการลงทุนในโรงไฟฟ้าต่างๆ อย่างเต็มที่ในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ธุรกิจไฟฟ้าเป็นธุรกิจที่มีความมั่นคงสูง มีรายได้ที่แน่นอนสม่ำเสมอ นอกจากนั้น ยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ต่อเนื่อง ทั้งจากความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขี้นปีละ 5% การเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 ตลอดจนเพื่อรองรับแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ (พีดีพี)"

ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น CKP มั่นใจว่าการเสนอขายหุ้นครั้งนี้จะได้รับการตอบรับจากเป็นอย่างดี เนื่องจาก CKP มีฐานรายได้ที่มั่นคง มีการกระจายความเสี่ยงไปยังธุรกิจไฟฟ้าหลายรูปแบบ มีโครงการที่ดำเนินการอยู่และสามารถส่งมอบได้ในอนาคตและเป็นบริษัทที่มีโอกาสเติบโตสูง จึงเหมาะสำหรับนักลงทุนระยะยาว ซึ่ง CKP ได้รับความสนใจเป็นอย่างยิ่งจากผู้ที่เข้าใจในธุรกิจ และผู้ที่มีความใกล้ชิดกับบริษัท จึงทำให้บริษัทจัดสรรให้ผู้มีอุปการะคุณในสัดส่วนที่ใหญ่ ส่วนที่เหลือนั้นจัดสรรให้กับนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบัน โดยกำหนดราคาเสนอขายที่ 13 บาท ซึ่งคิดเป็นราคาปิดต่อมูลค่าทางบัญชีที่ 1.28 เท่า เทียบกับราคาปิดต่อมูลค่าทางบัญชีของบริษัทที่มีลักษณะการประกอบธุรกิจในลักษะณะเดียวกัน ที่ 1.73 เท่า คิดเป็นส่วนลด 26% ระยะเวลาจองซื้อระหว่างวันที่ 10-12 กรกฎาคม ซึ่งเลื่อนจากกำหนดการเดิมมาแค่ 6 วัน และคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 18 กรกฎาคมนี้

นักลงทุนสัมพันธ์